เครื่องยนต์ GDI คืออะไร

GDI หรือ Gasoline Direct Injection คือ เครื่องยนต์เบนซินที่พัฒนาเรื่องระบบจ่ายเชื้อเพลิงเป็นแบบฉีดตรงเพื่อให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น มีการออกแบบลูกสูบใหม่ เพิ่มพื้นที่กระบอกสูบให้กว้างขึ้น และเปลี่ยนตำแหน่งของหัวฉีดมาอยู่ด้านบนของห้องเผาไหม้ ทำให้ละอองเชื้อเพลิงกระจายตัวได้ดีกว่าหัวฉีดแบบปกติและคาร์บูเรเตอร์ และยังให้พละกำลังที่แรงกว่า ทำให้เป็นที่นิยมในรถยนต์เบนซินยุคปัจจุบัน
ด้วยเทคโนโลยีที่เน้นเรื่องความประหยัด ทำให้แบรนด์รถยนต์เจ้าตลาด ทั้งยุโรป ญี่ปุ่น อเมริกา ต่างนำเทคโนโลยี GDI ไปพัฒนาตามสไตล์ของตัวเอง
ตัวอย่างรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ GDI เช่น
- Mazda รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ SkyActiv
- Nissan Sylphy
- Honda เช่น Accord, Civic 1.5 Turbo
- Toyota Camry (เครื่อง D4-S)
- BMW
- Mercedes Benz
เครื่อง GDI ดีกว่าแบบเก่าอย่างไร
- ประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่าเครื่องยนต์แบบเก่าที่ใช้คาร์บูเรเตอร์ถึง 35% และประหยัดกว่าเครื่องยนต์หัวฉีดแบบเดิมถึง 15%
- ขนาดจุลดลง ทำให้ขนาดของเครื่องยนต์เล็กลงกว่าเดิม
- ให้กำลังแรงบิดและแรงม้ามากขึ้นถึง 10% จากการฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง
- ช่วยลดมลภาวะในอากาศ จากการเผาไหม้ที่สมบูรณ์กว่าเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ ทำให้ปริมาณก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ออกมาน้อยกว่า ซึ่งเครื่องยนต์ GDI สามารถช่วยลด CO2 ลงได้ไม่ต่ำกว่า 15% เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์เบนซินหัวฉีดแบบปกติ
GDI มีข้อเสียอะไร?
- ภาวะชิงจุดระเบิดก่อนรอบเดินเบา (LSPI) หรือที่ช่างเรียกว่า “เครื่องน็อก” เป็นข้อเสียที่มาคู่กับเครื่อง GDI สาเหตุมาจากน้ำมันและอากาศเผาไหม้ก่อนที่หัวเทียนจะจุดประกายไฟ ทำให้เครื่องยนต์ทำงานผิดจังหวะ มีความดันส่วนเกิน และเสียงดังขึ้น ถ้าปล่อยไว้จะทำให้ลูกสูบ, วาล์ว และประเก็นเสียหายหนัก
- เกิดการสะสมคราบเขม่าที่วาล์วไอดี เป็นผลมาจากการเผาไหม้โดยตรงในห้องเครื่อง ทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาทางความร้อน โดยเฉพาะปฏิกิริยาออกซิเดชั่นสูง ก่อให้เกิดสิ่งสกปรกและคราบเขม่าอยู่ภายในกระบอกสูบ ทำให้บ่าวาล์วอุดตันได้
- ความร้อนของเครื่องยนต์ เพราะระบบการฉีดตรงนั้นมีการระเบิดที่เร็วขึ้น เกิดแรงอัดที่มากกว่าทำให้เครื่องร้อนมากและร้อนเร็วกว่าเครื่องแบบเก่า
ดูแลรักษายังไงให้เครื่องฟิตเหมือนใหม่ตลอดเวลา
สิ่งที่ต้องดูแลเป็นพิเศษสำหรับเครื่องยนต์ GDI คือ เรื่องระบบระบายความร้อน ซึ่งทราบกันดีว่าเครื่องร้อนเร็ว จึงต้องคอยเช็กอย่างสม่ำเสมอ ทั้ง พัดลม วาล์ว ปั๊มน้ำ และหม้อน้ำ ซึ่งหม้อน้ำควรเช็กระดับน้ำในถังเป็นประจำ ถ้าให้ดีควรเติม
น้ำยาหล่อเย็น (Coolant) เพื่อดูแลหม้อน้ำได้ดีมากขึ้น นอกจากนี้ อย่าลืมเช็กเสียงเครื่องยนต์ว่าปกติหรือไม่ เพื่อวิเคราะห์อาการได้ทันก่อนใช้งาน
และสำคัญที่สุด ควรเลือก น้ำมันเครื่อง ที่มีมาตรฐาน API สูงที่สุดอย่าง SN+ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการดูแลรักษาเครื่องยนต์เบนซินได้ดีที่สุด ยืดอายุการใช้งานได้นานกว่าเดิม โดยเฉพาะเครื่องยนต์ GDI สามารถช่วยลดอาการชิงจุดระเบิดก่อนกำหนดที่ความเร็วต่ำหรืออาการเครื่องน็อก ช่วยลดการเกิดคราบเขม่าของเครื่องยนต์ ช่วยให้รอบเครื่องฟิตเต็มร้อย พร้อมใช้งานได้ทุกวัน
สนใจให้ Valvoline ดูแลรถคุณ คลิกที่นี่